เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ มิ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะเรามาวัดมาวาเพื่อบุญกุศลไง บุญกุศลในการถวายทาน บุญกุศลนี้เป็นอามิส ฟังธรรมๆ เพื่อความฉลาดของเราไง ฉลาดที่ไหน ฉลาดให้ทันหัวใจของเรานะ

มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นผู้ที่มีปัญญา มนุษย์ต้องมีศาสนาประจำมนุษย์ไง ถ้ามนุษย์ไม่มีศาสนาประจำมนุษย์นะ มนุษย์เลวกว่าสัตว์ มันทำลายได้มากกว่านั้นไง สัตว์มันยังมีเขี้ยวมีเล็บไว้ทำลายคนเท่านั้นนะ มนุษย์มีปัญญามาก วางแผนทำลาย วางแผนเพื่อฉ้อฉลเขาไง นี่เพราะไม่มีศาสนา ไม่มีศาสนาเพราะอะไร ไม่มีศาสนาเพราะมันไม่มีเมตตาธรรมไง ไม่มีเมตตาธรรมก็จะเอารัดเอาเปรียบเขาตลอดไป

ถ้าไม่เอารัดเอาเปรียบเขานะ เวลาพระพุทธศาสนาสอน สอนถึงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สอนถึงเรื่องทุกข์ แต่เราบอกทุกข์มันเป็นทุกข์นิยม...ไม่ใช่ เราต้องการความสุข ศาสนาสอนให้มีความสุข ความสงบ ความร่มเย็น

เวลาวิมุตติสุขๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปราบปรามชำระล้างสิ้นทุกข์ไปจากหัวใจไง ถ้าสิ้นทุกข์ไปจากหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะทุกข์มันเป็นเหตุ ทุกข์มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้เราทุกข์ลำบากอยู่นี่ไง ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ มันละที่เหตุที่ผล ทุกข์มันเกิดจากไหน ทุกข์มันเกิดจากไหน

เวลาทุกข์มันเกิด คนที่มีสติปัญญาขึ้นมา คนที่มีสติปัญญาในพระพุทธศาสนานะ อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเท่าทันความคิดของตน เท่าทันหัวใจของตน แล้วถ้าพูดไปนะ ดูสิ เวลาหลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านบอกพูดกับเขาไม่ได้หรอก เขาจะหาว่าเราบ้า เพราะโลก โลกต้องการวัตถุ โลกต้องการชื่อเสียง โลกต้องการเกียรติคุณ ความปรารถนาความสุขของโลกเป็นความปรารถนาความสุขแบบตะครุบเงาไง มันไม่มีความอยู่จริงไง คนปรารถนาอยากร่ำอยากรวย อยากมีสถานะทางสังคมนะ พอมีขึ้นไปแล้ว ไม้สูงยิ่งหนาว ยิ่งขึ้นสูงยิ่งมีสมบัติมากมันยิ่งอยากได้มาก ยิ่งมีมากมันยิ่งอยากใหญ่ ยิ่งอยากใหญ่มันยิ่งแสวงหา ยิ่งแสวงหามันยิ่งระรานเขา เอาแต่ความทุกข์มาใส่หัวใจไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นกษัตริย์นะ ละความกษัตริย์นั้น อยู่ที่โคนไม้นั้น อยู่ที่โคนไม้นั้น เวลาทำสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขๆ

เราบอกว่าทุกข์นิยมๆ ไม่ต้องการ ไม่ต้องการทุกข์นิยม

ทุกข์มันเป็นเหตุ ทุกข์เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ฝังในหัวใจ ทุกข์มันมาจากไหน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านรู้จริง เหมือนต้นข้าว ต้นข้าวเวลามันขาดน้ำ ต้นข้าวที่น้ำท่วมมันตายหมด มันยังไม่ได้ออกผลไง แต่ต้นข้าวเวลามันออกรวง สูงสุดสู่สามัญ รวงนั้นมันน้อมให้ยอดข้าวนั้นต่ำลง คนที่มีสติมีปัญญา คนที่มีสติปัญญาเขานิ่งอยู่ เขารักษาหัวใจของเขาไง

ไอ้พล่ามๆๆ นั่นน่ะกิเลสทั้งนั้น ไปดูตอไม้สิ ตอไม้มันอยู่ตามทุ่งนา มันแข็งกระด้างอยู่อย่างนั้นน่ะ ใครเดินไปชนมันมีแต่โทษนะ ล้มใส่รถ ล้มใส่คนบาดเจ็บสาหัสทั้งนั้นน่ะ

แต่สิ่งมีชีวิต ดูยอดไม้ ดูสิ่งใดเวลาลมพัดมันไหวไปตามต้นไม้ คนถ้ามีสติมีปัญญา มีสติปัญญารักษาตนได้ คนที่ไม่มีสติปัญญามันก็ขี้กลากเท่านั้นน่ะ ขี้กลากมันลามปามเพราะมันเป็นความรู้ไม่จริงไง ถ้าความรู้จริงๆ เราต้องการความรู้จริง พระพุทธศาสนาสอนนะ สอนเรียบง่ายมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน เวลาสอนหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ การทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบระงับขึ้นมาแล้วมันไม่ระรานใครทั้งสิ้น มันเห็นโทษของมันไง

เวลาเรามีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันมีความน้อยเนื้อต่ำใจ มันคิดแต่คนอื่นทำร้ายเรา คนอื่นทำร้ายเรา มันเที่ยวจะตอบโต้เขา เที่ยวตอบโต้เขา เวลาเที่ยวตอบโต้เขานะ เวลาตอบโต้เขา เด็กก็ตอบโต้แบบเด็กๆ ผู้ใหญ่ก็ตอบโต้แบบผู้ใหญ่ คนมีอำนาจนะ มันกินรวบหมดเลย

แต่ถ้ามันมีธรรมในหัวใจนะ ผู้ที่มีอำนาจท่านจะมีเมตตาธรรมนะ เจือจานกัน แบ่งปันกัน ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขถ้าผู้มีอำนาจ ผู้ที่เป็นวัยรุ่น ผู้ที่มีสติปัญญาเขาก็หาความจริงในใจของตน หาบุญกุศลของตน เสียสละ คำว่า “เสียสละ” เราไม่ใช่คนโง่ คนโง่มันไม่ให้ใครหรอก แต่คนที่เสียสละ เราเสียสละสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร เพื่อของเราทั้งนั้นน่ะ เพื่อของเราทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เราเสียสละไปเพื่อความสุข ความสงบในชีวิตปัจจุบันของเขา แต่ของเรา เราได้บุญกุศล คำว่า “บุญกุศล” นี่มีอำนาจวาสนาบารมี

คนที่มีจิตใจเสียสละ คนนั้นเขามีอำนาจวาสนาบารมี เขามีพรรคมีพวกของเขา อยู่เบื้องหลังใครๆ ก็คิดถึงคนคนนั้นใช่ไหม คนคนนั้นไม่อยู่บ้านเขา มีแต่คนคุ้มครองดูแลบ้านของเขา ญาติของเขาไปที่ไหนมีอุบัติเหตุ ญาติของเขาไปอยู่ที่ไหนเกิดเภทภัย มีแต่คนจะอุ้มชู เพราะเขาคิดถึงบุญคุณของคนคนนั้นไง นี่ว่าเสียสละ นี่ของเราทั้งนั้น คนที่ทำได้ทั้งนั้นน่ะถ้ามีสติปัญญา

ถ้าเรื่องของเด็ก เด็กก็แบบเด็กๆ พ่อแม่จะสอน สอนไปโรงเรียนนะ อย่าหยิบฉวยของของใคร มีของสิ่งใดแบ่งปันให้เพื่อน เราสอนลูกของเราตั้งแต่ตอนนั้น พอสอนลูกของเรา ถ้าลูกของเรา เราฝึกอบรมของเรา ในทางวิทยาศาสตร์ ในทางจิตวิทยาเขาบอกว่าสภาวะแวดล้อมจะทำให้คนเป็นคนดีไง สภาวะแวดล้อมสิ่งที่ไม่ดีมันจะทำให้คนแข็งกระด้างไง อันนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งนะ แต่สัจจะความจริงๆ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมดีมันพาเกิดนะ ใจดวงนั้นมีบุญกุศลขึ้นมา ใจดวงนั้นจะทำคุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ ใจดวงนั้นๆ พันธุกรรมของจิตๆ มันมีกรรมเก่า กรรมใหม่ไง

กรรมเก่าคือกรรมที่เราได้สร้างของเรามา เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์มีคุณค่ามาก มีคุณค่ามาก ทรัพย์สมบัติที่เราแสวงหาจะได้มาเพราะความเป็นมนุษย์เรานี่แหละ เพราะความเป็นมนุษย์ของเรานะ เราแสวงหามาด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยคุณประโยชน์ของเรา ด้วยความเป็นมนุษย์ของเรานี่แหละ เราแสวงหาสิ่งใดขึ้นมามันขาดตกบกพร่อง มันทำสิ่งใดแล้วไม่สมความปรารถนา เราก็ขวนขวายของเราไง ไอ้กรรมเก่าๆ กรรมเก่ามันทำให้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ กรรมปัจจุบันๆ กรรมปัจจุบันนี้มันอยู่ที่สติปัญญาไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมไว้เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์อำนาจวาสนาเต็มขึ้นมา มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะน่ะ พ่อแม่ดูแลขนาดนั้นนะ พ่อแม่ปรารถนา ดูสิ พ่อก็อยากให้เป็นจักรพรรดิ เลี้ยงดูแลรักษา พยายามให้มีการศึกษา จะให้เป็นจักรพรรดิ ธรรมดาของโลก ธรรมดาของโลก มุมมองของโลกมีความรู้ได้ขนาดนั้นไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมากขนาดนั้นนะ ไปเที่ยวสวนนะ ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถ้าเราเป็นจักรพรรดิ เราเป็นสิ่งใด เราก็ต้องตายไปไง ตายไปแล้วมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสที่ได้พัฒนา ถ้ามันไม่ได้พัฒนา ไปเกิดต่อไปจะเกิดเป็นอะไร แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พยากรณ์แล้ว อย่างไรมันก็ไม่ตกลงต่ำหรอก

แต่เวลาความคิดของโลกเขาคิดได้แค่นี้ไง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาเอง ถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ของที่มันมีอยู่นี่มันต้องมีฝั่งตรงข้าม นี่ไง โลกของเรามีสุขคู่กับทุกข์ มีคู่กับไม่มี รักคู่กับชัง ทุกข์คู่กับสุข มันมีคู่ของมันตลอดทั้งนั้นน่ะ แล้วทำอย่างไรจะให้มันพ้นไปได้ๆ นี่ไง ถึงได้ออกแสวงหา ละออกไปๆ ออกไปหาโมกขธรรม ไปประพฤติปฏิบัติของท่าน

เวลาประพฤติปฏิบัติของท่าน ธรรมเกิดตรงนี้ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมเพราะอะไร กราบธรรมเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สลบถึง ๓ หนนะ คนเราสลบ ๓ หนคือตายแล้ว ๓ ครั้ง ตายฟื้นๆ ๓ หน ทุกอย่างทำด้วยความทุกข์ความยากขนาดนั้น แล้วเวลามันได้ขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันทุกข์มันยากทั้งนั้น ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ปัญจวัคคีย์ก็ต้องการคุณธรรม ปัญจวัคคีย์ก็ต้องการคุณธรรมอย่างนั้น แล้วเราไม่มีอะไรสอนเขา เราจะสอนเขาได้อย่างไร ในหัวใจของเรามันยังมีความทุกข์ความยากอยู่ ในหัวใจยังมืดมนอยู่ ในหัวใจมันยังไม่ปลอดโปร่ง ในหัวใจมันยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากกดทับอยู่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามค้นคว้า ค้นคว้าของท่าน พยายามศึกษาของท่าน ศึกษามาขนาดไหนก็ไม่ได้ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน โลกนี้ไม่มีแล้วแหละ นี่ไง โลกียปัญญา ปัญญาของโลกมีเท่านี้แหละ ปัญญาของพระเจ้าสุทโธทนะ ปัญญาของพวกเรา ปัญญาของพ่อแม่ที่ดูแลลูกก็มีเท่านี้แหละ มันไม่สูงไปกว่านี้หรอก ถ้าไม่สูงกว่านี้แล้วจะไปหาใครล่ะ หาใคร ใครก็สอนไม่ได้ หาใคร ใครก็สอนไม่ได้ สุดท้ายก็ระลึก ด้วยบุญกุศลนะ ระลึกถึงโคนต้นหว้านั้น สมัยที่เป็นราชกุมาร พ่อพาออกไปแรกนาขวัญ นั่งอยู่โคนต้นหว้านั้นน่ะ หายใจ อานาปานสติ หายใจเข้า หายใจออก กำหนดสติอยู่ โอ๋ย! มันสงบระงับขึ้นมา มันมีความสุขอย่างนั้นขึ้นมา ถ้าความสุขอย่างนั้นมันจะเป็นต้นเหตุอันนี้ได้ ถ้าต้นเหตุอันนี้ได้ เราจะกลับมาทำแนวทางนี้ กลับมาทำแนวทางของเราที่เราเคยทำไว้ตั้งแต่เป็นราชกุมารอันนั้น

เวลาทำขึ้นมา ร่างกายมันอดอาหารมา ๔๙ วัน มันเต็มที่แล้ว มาฉันอาหารของนางสุชาดา เพราะนางสุชาดาอธิษฐานอยากได้ลูกชาย บนเทวดาไว้ วันนั้นจะไปแก้บน ก็ทำข้าวมธุปายาสไปแก้บน ไปเห็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่งอยู่โคนต้นไม้ก็นึกว่าเทวดา ถวาย นี่ได้ฉันอาหารอันนั้น นี่คืออะไร นี่คือบุญกุศลนะ นี่ไง คือกรรมเก่าไง กรรมที่สร้างสมบุญญาธิการมาไง เพราะการได้สร้างมาอย่างนี้ เพราะนางสุชาดาก็ได้สร้างมาอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้สร้างมาอย่างนั้น ถึงเวลาได้ผลๆ ฉันอาหารของนางสุชาดา ลอยถาดนั้นไป ถาดนั้นทวนน้ำไป เพราะอธิษฐาน ถ้าเราภาวนาได้ ขอให้ถาดนี้มันลอยทวนน้ำไป นี่อธิษฐานด้วยบุญ

ไม่ใช่อธิษฐานก็บอกว่า ถาดลอยน้ำได้ ท่านมีคุณธรรมๆ

อันนี้มันเป็นบุญกุศล เป็นอำนาจวาสนา อธิษฐานลอยทวนน้ำขึ้นไป ถ้าลอยทวนน้ำขึ้นไป เรามีโอกาส คืนนี้นั่งแล้วถ้าไม่ได้ตรัสรู้ เราจะไม่ยอมลุกจากที่นั่งเลย สละชีพตายไปเลย สลบไปถึง ๓ หนแล้ว เวลาจะนั่งตลอดรุ่งคืนนั้นก็ยังสละชีวิตตั้งแต่ก่อนนั่ง

เวลานั่งไป ปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกรู้อดีตชาติ คำว่า “ระลึกรู้อดีตชาติ” นี่นะ เพราะว่าก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้มันก็มีอยู่แล้ว พวกฤๅษีชีไพรเขาก็ทำของเขาได้ ไอ้นี่มันเป็นสากล มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องของจิต จิตมันรับรู้ของมันได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อันนี้ไม่ใช่ แต่ระลึกไปได้ เรามาจากไหน ตั้งแต่พระเวสสันดรย้อนไป อ๋อ! จิตนี้เราเคยเป็นๆ ท่านไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระเวสสันดร พระเวสสันดรหมดอายุไปแล้ว พระเวสสันดรตายไปแล้ว แต่เจ้าชายสิทธัตถะยังดำรงชีพอยู่ แต่เพราะเราเคยเป็นอันนั้น จิตดวงเดียวนี่แหละ แต่มันเคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

อ๋อ! ตั้งแต่พระเวสสันดรไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันไม่ใช่ ไม่ใช่คือว่ามันเป็นความรู้ที่ฤๅษีชีไพรเขาก็รู้ของเขาอยู่แล้ว ในทางวิทยาศาสตร์มันรู้ได้ของมันอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่มรรค มันไม่ใช่ปัญญา ดึงกลับมา ท่ามกลางมัชฌิมยาม ท่ามกลางนั้น จุตูปปาตญาณ ถ้าจิตนี้ ถ้าจิตนี้ไม่ได้แก้ไข ถ้าจิตนี้ไม่ได้แก้ไข เวลาตายไปๆ เวลาดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ จากพระเวสสันดรตายไป แล้วตายไปด้วยการเสียสละอย่างนั้น ไปบนสวรรค์ดุสิต แล้วเวลาลงมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้ามันจุตูปปาตญาณถ้ายังไม่สิ้นไปด้วยมรรคด้วยผลมันจะเป็นอย่างนี้ ผลของวัฏฏะ จิตที่ไม่เคยตาย เวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้

ดึงกลับมา พอดึงกลับมายามสุดท้าย เวลามันละเอียดลึกซึ้งเข้า มันเข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่จิตเดิมแท้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ความไม่รู้ไม่เห็น ความที่ยังบุพเพนิวาสานุสติญาณ เราไปรู้ จุตูปปาตญาณ เราไปรู้ แต่ถ้าความรู้ความเห็นอันนั้นมันทำลายความรู้ความเห็นอันนั้น ถ้าทำลายความรู้ความเห็นอันนั้น นี่มรรคญาณ

เวลามรรคญาณ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ผู้ที่มีคุณธรรมมันต้องเกิดจากการกระทำอย่างนั้น ผู้ที่มีคุณธรรมมันต้องมีมรรคขึ้นมา มันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาในหัวใจของตน ถ้ามันมีความจริงในใจของตน ชำระล้างกิเลสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ถ้าเวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ในเมื่อมันรู้ชัดเจนอย่างนี้ เพราะรู้ชัดเจน อวิชชาความไม่รู้ถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาคนจะเกิด เกิดมาโดยไม่รู้ทั้งนั้นน่ะ ไม่รู้โผล่มาจุติแล้วอยู่ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ อาหาร ๔ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ถ้ามันรู้แจ้งของมัน มันจะไปไหน นี่ไง ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปก็ได้ จะอยู่อย่างไรก็ได้ถ้าผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ แล้วอิทธิบาท ๔ มันมาจากไหนล่ะ

ดูอิทธิบาท ๔ ถ้ามันเป็นไปโดยสัจจะ ผู้ที่มีความจริงในหัวใจ รวงข้าว ข้าวถ้ามันมีรวงของมัน เวลามันสุกแล้วมันน้อมลงต่ำ ผู้ที่ความจริงในหัวใจเขามีสติมีปัญญาของเขา รอบรู้ในหัวใจของตน ถ้ารอบรู้ในหัวใจของตน โลกรู้ไม่ได้ แล้วพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง พูดกับเขาไม่ได้ เขาไม่รู้หรอก โลกกับธรรมมันแตกต่างกันอย่างนี้ไง

เวลามีสติมีปัญญา มีใบประกาศกันเต็มบ้านเอาไว้เผาศพตัวเองไง เรียนมา ประกาศแขวนไว้รอบห้องเลย ตัวเองไม่รู้อะไรหรอก รู้แต่สิ่งที่เรียนมานั่นน่ะ แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันรู้รอบในใจของตน ถ้ามันมีความจริงในใจของตน รวงข้าว ดูสิ มันมีข้าว มันเป็นอาหาร มันดำรงชีพ มันเลี้ยงตัวมันเองสะดวกสบายมาก ไอ้พวกตอไม้ต่างๆ มันแห้งแล้ง มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์หรอก มันเป็นโทษทั้งนั้นน่ะ ชีวิตเราล่ะ

ย้อนกลับมานี่ ย้อนกลับมาชีวิตเรา ถ้าย้อนกลับมาที่ชีวิตเรา เราเกิดมาเราต้องมีการศึกษา ศึกษาต้องมีสติปัญญา ศึกษามาเป็นวิชาชีพ เป็นอาชีพในการเลี้ยงชีพ สิ่งที่เรามีปัญญา ปัญญาไว้ทำงาน คนไม่มีองค์ความรู้ทำงานอะไร จะทำงานหน้าที่อะไร ปัญหาเกิดปัญหาหนึ่ง คนมีการศึกษามามองปัญหานั้นแตกต่างกันไปแล้วแต่ภูมิหลังที่เรียนมา ใครมีภูมิหลังอย่างไรก็มองปัญหาอย่างนั้น

แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอบ เวลาปัญญามันหมุน มันหมุนของมัน ศีล สมาธิ ปัญญา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความระลึกชอบ ความชอบธรรม ปัญญาที่ความชอบธรรม ปัญญาไม่เคยไประรานใคร ปัญญาไม่ได้ทำร้ายใคร ปัญญาจะชำระล้างกิเลส ปัญญาจะปราบปรามกิเลสในใจของตน

ทุกข์ สมุทัย สมุทัยคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความอยากได้ อยากรู้ ความไม่ต้องการ ความปรารถนา ไม่ต้องการ มีสิ่งใดที่เป็นทุกข์อยากผลักๆๆ มันไป

วิภวตัณหา ตัณหาคือความอยากดังอยากใหญ่ อยากจะไปแสวงหามา

เวลารู้เท่าๆ รู้เท่าเป็นอัพยากฤต มันเป็นตัณหาทั้งนั้นน่ะ อยู่เฉยๆ ก็เป็นตัณหา อยากได้ก็เป็นตัณหา ไม่อยากได้ก็เป็นตัณหา ตัณหาทั้งนั้นเลย แต่ปัญญามันหมุนเข้ามาๆ ถึงตัวของมัน ทำลายตัวของมัน

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ถ้ามันละสมุทัยไปแล้วทุกข์ไปไหน เวลามันละเหตุไปแล้วทุกข์ไปไหน ทุกข์มันไม่มี อ้าว! ทุกข์เพราะโง่ อ้าว! อย่างนั้นจริงๆ ทุกข์เพราะโง่ ใครยึดเป็นทุกข์หมด ถ้าใครปล่อยวางตามความเป็นจริง แต่มันต้องเป็นความจริงนะ มันต้องเป็นรวงข้าวนะ มันมีข้าวทั้งรวงเลยล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน มันมีสติมีปัญญาเต็มหัวใจเลย แล้วปล่อยวาง เหมือนเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วไม่ติดในทรัพย์ของตน ไอ้พวกเรายาจก ถูกรางวัลที่ ๑ เลี้ยงจนหมดตัวแล้วกลับไปถีบสามล้อใหม่ นี่ก็เหมือนกัน เรียนมาเยอะ รู้เยอะ เดี๋ยวก็กลับไปถีบสามล้ออีก เดี๋ยวพอมันจำได้ พอมันพูดจนเลอะเลือนก็ทุกข์ไง เดี๋ยวมันก็กลับมาทุกข์อีก

แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงแล้วมันจบ เป็นเศรษฐีแล้วปล่อยวาง ไม่ใช่แห้งแล้ง ไม่ใช่ทุกข์ยาก ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่แกล้งว่าไม่รู้ ไม่ใช่การปฏิเสธ ทุกข์ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา ปฏิเสธมันหมด ปฏิเสธมันก็มี มันเป็นนามธรรม มันอยู่กับตัวเรานี่แหละ มึงจะไปมุดอยู่ไหนมันก็อยู่ในใจมึงนั่นแหละ ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม จะตกนกรอเวจี มันก็อยู่ในใจนั่นน่ะ ปฏิเสธอย่างไรมันก็อยู่นั่น

แต่ถ้ามันทำลายหมดแล้ว อยู่ที่ไหนมันก็ไม่มี ไม่มีมันก็คือไม่มี มันเป็นความจริงของมันไง แต่ไม่มี ไม่มี ใครไม่มีล่ะ นี่พูดถึงถ้าความจริง ความจริงเป็นแบบนั้น ถ้าความจริงเป็นแบบนั้นนะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะปล่อยวาง เราจะเข้าใจสิ่งใด เราต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญก่อน มันไม่ใช่เข้าทรงทรงเจ้าไง ไสยศาสตร์ไง เวลาไปเห็นอะไรก็ขอให้ลูกช้างมีความสุข ขอให้ลูกช้างเจริญรุ่งเรือง แล้วก็ถ่มน้ำลายรดหัวทีหนึ่ง กลับไปมันมีความสุขมากเลย เป็นอย่างนั้นกันหมด เป็นไสยศาสตร์ไง

แต่พระพุทธศาสนาไม่สอนอย่างนั้น พระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องสติ เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องคุณงามความดี เรื่องกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ใครมีคุณกับเรา ใครช่วยเหลือเจือจานเรา ใครเป็นคนดี เราต้องเห็นคนนั้นเป็นแบบอย่าง อย่าไปทำลายเขา ใครเป็นคนชั่ว ใครเป็นคนทำลายคน เราก็มองไว้เป็นแบบอย่าง อย่าไปทำตามเขา แต่เราก็ไม่ย่ำยีใครทั้งสิ้น เพราะมันเป็นความมืดบอดในใจของเขา มันเป็นความมืดบอด มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องมืดบอดไปตามเขา ไม่ใช่เราต้องไปทำเขา เยาะเย้ยถากถางเขา เพราะมันมืดบอด แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะเปิดหูเปิดตาไง

หลวงตาท่านพูดประจำนะ เวลาไปตามที่ต่างๆ ไปเอาหัวใจของสัตว์โลก ไปเอาหัวใจเขา นี่ไง ให้เราเปิดหัวใจ ให้หัวใจเรามีสติปัญญาไง พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง อย่าเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น กาลามสูตร พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วค่อยเชื่อ พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วค่อยๆ คิด ต้องทำตามนั้นนะ อย่าเพิ่งไปเชื่อใครง่ายๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น แล้วให้เราทำตาม ปฏิบัติ ถ้ามันเป็นขึ้นมามันจะเป็นความจริงของเรา ให้ถือผลการกระทำของเรา ผลการกระทำทำแล้วมันมีผลประโยชน์ ไม่ใช่ทำแล้วมีแต่ทุกข์แต่ยาก ทำทุกข์ยากทำไม

แล้วนี่มาวัดมาวาไม่ทุกข์ไม่ยากหรือ อุตส่าห์ขวนขวายมา มันทุกข์มันยากแต่กิริยาเท่านั้นแหละ แต่ถามหัวใจมันทุกข์จริงหรือเปล่า ถามหัวใจสิ เวลามันอยู่บ้านให้มันบีบคั้นในหัวใจมันทุกข์ไหม เวลาเราไปแล้วมันปลอดโปร่งไหม บุญมันคือไอ้นี่ไง บุญมันคือความสุขในใจไง แล้วบุญอันนี้ที่มันสุขในใจแล้วเดี๋ยวมันก็คิดออก ปัญหาที่มันขัดแย้ง ปัญหาที่มันทับถมใจ มีสติมีปัญญาเท่านั้น ปัญหานั้นจะไม่ใช่ปัญหา มันจะหลุดไปหมด แล้วเราจะเจริญรุ่งเรืองในหัวใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือชนะกิเลสในใจของเรา คือชนะตนเองนี้เท่านั้น ชนะหัวใจนี้เท่านั้น เอวัง